คลังสินค้ามีการพัฒนามาหลายปีแล้วและในปีนี้ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญจะสามารถคาดเดาแนวโน้มบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ได้ แต่สิ่งที่พวกเขาไม่สามารถคาดเดาได้ก็คือว่าแนวโน้มเหล่านั้นจะเร่งความเร็วและส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมได้เร็วเพียงใด

       จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อขายไปจนถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วในอีคอมเมิร์ซ ทำให้คลังสินค้าทุกแห่งต้องดิ้นรนเพื่อปรับตัวให้ทัน ซึ่งความต้องการเหล่านี้บังคับให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านคลังสินค้า ต้องประเมินแผนการลงทุนใหม่และเร่งปรับปรุงการดำเนินงานให้ทันสมัยยิ่งขึ้น

      Warehouse Trends : การรับสมัครยังคงเป็นความท้าทาย

       ก่อนปี 2020 คลังสินค้าได้มีการจ้างคนงานให้เพียงพอกับงานที่มี จากการศึกษารูปแบบคลังสินค้าของ Zebra พบว่าในปี 2024 การจัดหาแรงงานและคุณภาพของคนงานถือเป็นความท้าทายอันดับต้นๆ สำหรับผู้ประกอบการคลังสินค้า พบว่า 60% บางคนจ้างงานอย่างจริงจังเพื่อตอบสนองความต้องการของอีคอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้อัตราการว่างงานลดลง ซึ่งการเติบโตนี้อาจทำให้เกิดข้อจำกัดด้านแรงงานมากขึ้น ในปี 2564 ถึงแม้ว่าการจ้างแรงงานที่มีทักษะจะยังคงมีความสำคัญในปี 2564 แต่ความต้องการด้านแรงงานเพิ่มเติมก็ไม่เพียงพอที่จะเอาชนะความต้องการของคลังสินค้าได้ในขณะนี้ ผู้นำคลังสินค้ากำลังมองหาวิธีอื่น ๆ ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นและหนึ่งในวิธีเหล่านั้นคือการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ

       เทคโนโลยีช่วยให้เราอยู่กับสถานการณ์โควิด -19 ได้อย่างไร

       การเพิ่มประสิทธิภาพของ workflow และการเพิ่มผลผลิต ซึ่งนอกเหนือไปจากการเพิ่มจำนวนคนงาน คลังสินค้ายังต้องจัดหาเครื่องมือและเทคโนโลยีที่จำเป็นให้กับพนักงานในการทำงานอย่างเต็มความสามารถ ซึ่งเส้นทางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีนี้ สามารถแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน ซึ่งได้รับผลกระทบมาจากการแพร่ระบาด ซึ่งเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในทุกภาคส่วน

       ขั้นตอนที่ 1 ของการเปลี่ยนแปลงนี้ เกี่ยวข้องกับการสแกนสินค้าและวิธีการที่คลังสินค้าบันทึกทรัพย์สินของพวกเขา เพราะการจัดการสินค้าคงคลังไม่เคยมีความสำคัญมากไปกว่านี้ ด้วยผลิตภัณฑ์ เช่น สินค้ากระดาษ และน้ำดื่มบรรจุขวดที่ลอยออกจากชั้นวาง การตรวจสอบให้แน่ใจว่าคลังสินค้ามีอุปกรณ์ที่เหมาะสมในการสแกนสินค้าคงคลัง เนื่องจากสินค้าเข้ามาในโรงงานและการออกไปจากคลังสินค้า ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการจัดการความต้องการใหม่ ๆ

        ขั้นตอนที่ 2 ประเมินว่าคลังสินค้าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและผสานรวมเทคโนโลยีใหม่เข้ากับระบบการจัดการคลังสินค้า (WMS) ได้อย่างไร เทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดบางอย่างในขั้นตอนนี้ ได้แก่ การเลือกสั่งด้วยเสียง และอุปกรณ์เสริมหน้าจอ ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพพนักงานที่เป็นมนุษย์ ทำให้พวกเขาทำงานได้ง่ายขึ้น โซลูชันเหล่านี้ยังช่วยให้คลังสินค้าสามารถตอบสนองความต้องการแรงงานบางส่วนได้ ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมจะช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการทำงานให้เสร็จได้อย่างมาก

       ขั้นตอนที่ 3 ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการติดตั้งเซนเซอร์ไว้ในโครงสร้างพื้นฐานของคลังสินค้า การใช้แท็ก RFID สามารถช่วยให้คลังสินค้าดำเนินกระบวนการสแกนโดยอัตโนมัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปรับปรุงระดับความแม่นยำและประสิทธิภาพของวัสดุที่กำลังสแกนซึ่งในขั้นตอนที่ 4 เราจะเห็นการนำระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ โดยเฉพาะหุ่นยนต์และโคบอทมาใช้เพื่อเพิ่มพูนแรงงานที่เป็นมนุษย์ โคบอทสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในคลังสินค้า โดยรับภารกิจมากกว่าที่มนุษย์ต้องทำโดยทั่วไป ทำให้พนักงานมีเวลามากขึ้นในการมุ่งเน้นไปที่งานหรือหน้าที่ที่มีทักษะสูง เป้าหมายของขั้นตอนนี้คือการตอบสนองต่อแนวทางและการตัดสินใจในการขนย้ายครั้งต่อไปที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการจัดการการดำเนินงานคลังสินค้าโดยเฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาด

       ขั้นตอนสุดท้ายเป็นขั้นตอนสูงสุดสำหรับการดำเนินงานคลังสินค้าและการรวมระบบอัตโนมัติอัจฉริยะเข้ากับการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อช่วยคาดการณ์และปรับให้เข้ากับขั้นตอนการทำงานและประสิทธิภาพการดำเนินงานประจำวัน

       มองไปข้างหน้า

       ความต้องการของอุตสาหกรรมในปี 2564 คือการปล่อยให้คลังสินค้าดำเนินการไปเรื่อยๆ และประเมินว่าพวกเขาจะก้าวไปตามความต้องการและความคาดหวังของผู้บริโภคและเชิงพาณิชย์ได้อย่างไร การนำเทคโนโลยีคลังสินค้าแบบใหม่มาใช้ในเชิงกลยุทธ์ ช่วยให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากเกิดโรคระบาดและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในอีกหลายปีข้างหน้า